Sakorn News : แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีสะเทือนขวัญในจ.สมุทรปราการ

Sakorn News : แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีสะเทือนขวัญในจ.สมุทรปราการ

รับชม 70 ครั้ง|
1
ไม่ชอบ
แชร์
sakornchannel
1,454 วิดีโอ
ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมืองสมุทรปราการ พลตำรวจเอก เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พลตำรวจตรี ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พลตำรวจตรี ธรรมนูญ ไตรทิพยพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ นายธีรพล ศิรินานุวัฒน์ ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมตำรวจฝ่ายสืบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรปราการ และสถานีตำรวจภูธรบางเสาธง ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุอุจฉกรรจ์จำนวน 2 คดี ประกอบด้วย คดีในพื้นที่ สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรปราการ เป็นเหตุกราดยิงหน้าร้านคอเล่า ถนนสุขุมวิท ปากซอยโอเซียนวิลเลจ หมู่ที่ 2 ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บ 1 รายเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุม นายอำพล หรือเบน จิมไธสง อายุ 27 ปีและนายวิชัย หรือ จ่อย ปุริมายตา อายุ 32 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ในข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ได้พร้อมของกลางอาวุธปืนลูกโม่ไทยประดิษฐ์ ขนาด.38 1 กระบอกและรถจยย.ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นมีโอ สีฟ้า-ขาว ทะเบียน 1 กค 2074 สมุทรปราการ เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าไม่พอใจที่การ์ดไล่ออกจากร้านไม่ให้ดื่มเหล้าหลังมีเรื่องทะเลาะกันภายในร้าน จึงขับรถกลับไปเอาปืนที่ซื้อจากเพื่อนมาเมื่อ 2 ปีที่แล้วในราคา 5,000 บาทกลับมากราดยิงหน้าร้าน ก่อนหลบหนีไป ส่วนคดีที่2 เป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์ นางสาวสุจินดา สิงขรโอฬารึก อายุ 50 ปี น้องสาวเจ้าของร้านตัดแว่นตาทวีพูน เลขที่201/178 หมู่ 1 ถนนสามB การเคหะ ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ สถานีตำรวจภูธรบางเสาธง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม นายชัยรัตน์ โพธิ์ทอง อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการเลขที่88/2561 ในข้อหาฆ่าผู้อื่นและชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยจับกุมได้ภายในบ้านพักที่ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม พร้อมของกลางสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ซึ่งระหว่างเข้าจับกุมผู้ต้องหาอยู่ในอาการมึนเมายาเสพติด เบื้องต้นนายชัยรัตน์ ให้การรับสารภาพว่า ประสงค์ต่อทรัพย์สินเนื่องจากไม่มีเงินไปจ่ายค่าห้องเช่าที่ติดค้างอยู่ 3 เดือนรวมเป็นเงิน 7,200 บาท โดยก่อนก่อเหตุได้มายืมเงินเพื่อนที่เคยทำงานร้านอาหารด้วยกันแถวเคหะบางเสาธง และจากนั้นช่วงที่เดินผ่านร้านแว่นตาเห็นผู้ตายใส่ทรัพย์สินเต็มตัว จึงตัดสินใจเข้าไปทำทีว่าจะตัดแว่นตา พอผู้ตายเผลอหันหลังให้ตนจึงกระชากสร้อยคอและเปิดลิ้นชักหยิบเงินออกมาแต่ผู้ตายต่อสู้เอาเก้าอี้ในร้านมาตีเข้าที่ด้านหลัง ตนจึงหยิบมีดปอกผลไม้ที่เตรียมมาใส่เข้าไปที่คอของผู้ตาย 3 แผล จนผู้ตายล้มลงแน่นิ่งไป ตนจึงรีบเดินออกไปขึ้นรถแท็กซี่ มุ่งหน้าที่ห้างบิ๊กซีบางพลี ก่อนซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เปลี่ยนและทิ้งชุดเก่าไว้ในห้องน้ำและเดินข้ามเอาทองไปจำนำที่ร้านทองฝั่งตรงข้ามห้างได้เงินมาประมาณ 40,000 บาท จากนั้นจึงนำเงินที่ได้ไปจ่ายค่าห้องและหนีกลับไปอยู่บ้านที่ จ.นครปฐมก่อนถูกตำรวจจับกุมได้รวมทั้งยอมรับว่า ติดยาเสพติดโดยระหว่างที่ถูกจับกุมเพิ่งจะเสพยาไอซ์เข้าไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปตรวจปัสสาวะก็พบสารเสพติด หลังแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ พลตำรวจเอก เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เนื่องจากเหตุที่เกิดขึ้นทั้ง 2 คดีเป็นเหตุสะเทือนขวัญ ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงสั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุให้ได้โดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน รวมถึงในส่วนของงานป้องกันและปราบปราม จะมีการเพิ่มวงรอบและความถี่ในการตรวจตามร้านเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชน
แสดงเพิ่ม