ปีนี้ นอกจาก ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาจะปั่นป่วนการค้าโลกแล้ว ยังป่วนตลาดหุ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น IT อีกด้วย วันดีคืนดี ทรัมป์ ก็ทวิตข้อความพูดถึงบริษัท Amazon ดังนี้
“ Only foods, or worse, are saying that our money losing Post Office makes money with Amazon. THEY LOSE A FORTUNE, and this will be changed. Also, our fully tax paying retailers are closing stores all over the country, not a level playing field ! ”
คือบอกว่า บริษัท Amazon ผู้นำด้าน E Commerce นั้นทำให้ไปรษณีย์สหรัฐขาดทุนครั้งละ 1.50 เหรียญทุกๆ ครั้งที่ส่งของทาง Amazon และ ทรัมป์ยังกล่าวหาว่า Amazon ทำร้ายธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐด้วย
ที่จริง ต้องบอกว่าไปรษณีย์สหรัฐขาดทุนอยู่แล้วเพราะมีคู่แข่งเยอะและขึ้นราคายาก ปกติก็ขาดทุนอยู่แล้ว ไม่ใช่มี Amazon แล้วขาดทุน จะขึ้นค่าขนส่งก็มีโอกาสเสียธุรกิจไปเลย และ Amazon เองก็ไม่ได้ได้รับสิทธิพิเศษใดจากไปรษณีย์สหรัฐ ข้อมูลบ่งชี้ว่าค่าขนส่งที่ Amazon จ่ายให้กับไปรษณีย์สหรัฐเป็นราคาส่วนลดที่เป็นปกติที่เจ้าอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไม ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา จึงกล่าวหาแบบนี้ หากไปรษณีย์สหรัฐฯ ต้องการขึ้นราคาเพื่อเอากำไรหรือเท่าทุนก็คงโดนคู่แข่งจัดการเพราะสู้เขาไม่ได้อยู่ดี หากแต่การทวิตครั้งนี้ส่งผลให้ราคาหุ้น Amazon ปรับตัวลดลง 15%
นอกจากกล่าวหา Amazon ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ยังกล่าวหาว่า Amazon ทำร้ายธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐ ซึ่งคุณวินมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ธุรกิจค้าปลีกเองก็ต้องปรับตัว นี่คือ Trend ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก และ Amazon นี่แหล่ะมีส่วนทำให้บริษัทขนาดเล็กในสหรัฐฯ เติบโตขึ้นด้วยการทำให้บริษัทเหล่านี้ไม่ต้องมีหน้าร้าน และ Amazon ก็มีส่วนทำให้แรงงานเติบโตด้วยการจ้างพนักงานกว่า 500,000 คน
ประเด็นนี้ส่งผลต่อการลงทุนหรือไม่ คุณวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด มองว่าในภาพรวม กระทบหุ้นกลุ่ม IT ระยะสั้น นอกจาก Amazon ยังมีอีก 2 บริษัทที่โดนทรัมป์พูดถึงคือ Tesla โดยถูกพูดถึงในเรื่องภาษีกับจีน จีนก็ทำท่าจะขึ้นภาษีรถไฟฟ้า หุ้น Tesla ก็ลง ทั้งหุ้น Amazon และ Tesla ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาขึ้นมา 10 เท่า จึงเกิดการปรับฐาน และเริ่มรีบาวด์
อีกบริษัทคือ Facebook ที่มีประเด็นข้อมูลผู้ใช้งานรั่ว มีบริษัทนำไปใช้ช่วยในเรื่องการหาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ ซึ่ง CEO ของ Facebook ก็ไม่ได้ออกมาตอบโต้เร็วพอ และมาตรการก็อาจยังไม่เข้มข้นพอ ส่งผลต่อราคาหุ้นระยะสั้น
กองทุน Global Opportunity ของ ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้ นักลงทุนจะต้องกังวลใจหรือไม่ คุณวินเล่าว่า ระยะสั้นอาจกระทบบ้าง แต่ในภาพระยะยาวยังเชื่อมั่นในศัยภาพการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจึงไม่มีความกังวลค่ะ
แสดงเพิ่ม