รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 785 หุ้นไทยเริ่มปรับตัวขึ้น ยังไปต่อได้หรือไม่ | บล.ไอร่า

รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 785 หุ้นไทยเริ่มปรับตัวขึ้น ยังไปต่อได้หรือไม่ | บล.ไอร่า

รับชม 11 ครั้ง|
ชอบ
ไม่ชอบ
แชร์
thunkhaochannel
636 วิดีโอ
"ตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้น แต่ต้องเลือกกลุ่มในการลงทุน เช่นพลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคาร การเงิน และขนส่ง" บล. ไอร่ามองตลาดช่วงนี้เป็นขาขึ้น หลังดัชนีสามารถผ่าน 1,710 จุดได้ตั้งแต่กลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ระยะสั้นมองว่าอาจขึ้นไปทดสอบที่ 1,767 จุด ซึ่งเป็น High เดิมเมื่อ2 สัปดาห์ก่อนได้ การที่ดัชนีปรับขึ้นช่วงนี้ยังคงมาจากแรงซื้อของสถาบันในประเทศเป็นหลัก กลยุทธ์ลงทุนต้องเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเข้ามา โดยกลุ่มที่ปัจจัยพื้นฐานดี ที่ยังคงมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง และยังคงเข้าลงทุนได้ เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคาร การเงิน และรับเหมาก่อสร้าง ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศค่อนข้างผันผวน แต่ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปรับตัวเป็นขาขึ้น ยังไม่น่าเป็นห่วง ล่าสุดสามารถทำ New High และยืนได้เหนือ 26,700 จุด ซึ่งประเด็นเกี่ยวกับนโยบายการกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก และยังคงต้องจับตาดู โดยล่าสุดสหรัฐและจีนได้เก็บภาษีสินค้านำเข้าสินค้า 10-25% มูลค่ารวม 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แบ่งเป็นที่ประกาศรอบแรกตอนเดือน ก.ค. 3.4หมื่นล้านและรอบ 2 เมื่อ 23 ส.ค. อีก 1.6 หมื่นล้าน รวมเป็น 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และรอบ 3 เมื่อ 24/9/61 อีก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะเก็บ 10% ก่อนและจะเพิ่มเป็น 25% ในปี 2562 และปธน.ทรัมป์ขู่เก็บภาษีสินค้าจีนมูลค่าอีกกว่า 2.67 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งยังคงต้องจับตาดูต่อไป หลังจากการเจรจาระหว่างจีน-สหรัฐล่าสุดยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่ปัจจัยระยะสั้นจะได้รับผลบวกหลังจาก แคนาดาและสหรัฐได้บรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกับเม็กซิโกแล้ว โดยข้อตกลงฉบับใหม่ ซึ่งเรียกว่า "ข้อตกลงสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา" (United States-Mexico-Canada Agreement) หรือ USMCA เป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ได้รับการแก้ไขให้มีความทันสมัยเหมาะสมกับศตวรรษ์ที่ 21" ทั้งนี้ ข้อตกลง USMCA จะเข้ามาแทนที่ข้อตกลง NAFTA ซึ่งถูกใช้มานานกว่า 24 ปี อีกประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมาอยู่ที่ 83 USD/bbl สูงสุดในรอบ 4 ปี โดยได้รับปัจจัยบวกจากมติคว่ำบาตรต่ออิหร่านของสหรัฐฯ ส่งผลให้ปริมาณผลิตน้ำมันดิบของอิหร่านอยู่ที่ 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2560 และคาดการผลิตของอิหร่านจะลดลง 1.0-1.5 ล้านบารืเรลต่อวัน หลังจากมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 พ.ย. 2561 ในขณะที่กลุ่มโอเปคขณะนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยการผลิตที่หายไปจากอิหร่าน จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นต่อเนื่อง จากมีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบดูไบจะขึ้นไปอยู่ที่ 90 USD/bbl ในช่วงปลายปี 2561โดยราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูงเช่นนี้จะส่งผลดีต่อ PTT, PTTEP และ PTTGC และกลุ่มโรงกลั่นจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันดิบ โดยประเด็นในประเทศ ธปท คาด GDP ปี 2561 อยู่ที่ 4.4% หลังกระทรวงพาณิชย์รายงาน GDP ไทยในช่วง 1H/61 อยู่ที่ 4.8% โดยเป็นผลมาจากปัจจัยสนับสนุนสำคัญเรื่องการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการเดินหน้าลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทำให้คาดว่าในปีนี้ภาพรวมการลงทุนของภาครัฐจะขยายตัวได้ 7.9% รวมถึงการส่งออกที่ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 9.7% เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้เป็นอย่างดี ในขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปี 2561 คาดมีโอกาสที่ กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25 bps ในการประชุมวันที่ 19 ธ.ค. จากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันที่ 1.5% และคาดเงินเฟ้อทั่วไปปี 2561 ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1.2% ด้านกลยุทธ์เน้น Stock Pick เลือกหุ้นในกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น ดังนี้ 1) กลุ่มธนาคาร ภาพ NPL เริ่มคงที่ ตั้งสำรองลดลง เช่น BBL, KTB 2) กลุ่มการเงิน คาดผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง เช่น MTC, SAWAD 3) กลุ่มปิโตรเคมี ผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง และปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น เช่น IVL 4) กลุ่มพลังงาน คาดผลการดำเนินได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น PTT, PTTEP และโอกาสเติบโตจาก EEC เช่น WHAUP 5) กลุ่มขนส่ง ได้รับประโยน์จากการฟื้นตัวของค่าระวางเรือ เช่น PSL ส่วนหุ้นรายตัว แนะนำหุ้นในกลุ่มพลังงาน นั่นคือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) โดยมีประเด็นดังนี้ PTT อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมสำหรับแผนงาน New S-Curve เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต เช่น การแยกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกออกมาเป็น PTTOR เพื่อการดำเนินงานที่คล่องตัวมากขึ้น พร้อมที่จะเติบโตในธุรกิจค้าปลีก โดยการโอนสินทรัพย์ให้ PTTOR มีผลแล้วเมื่อ 1 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา คาดจะมีการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวในช่วง 3Q/61 และเบื้องต้นคาด PTTOR จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วง 2Q/62 เราคาดผลการดำเนินงานของ PTT จะยังคงแข็งแกร่งในช่วง 2H/61 ทั้งจากธุรกิจท่อส่งก๊าซที่มั่นคง และโรงแยกก๊าซที่คาดผลการดำเนินงานจะยังคงโดดเด่นตามราคาน้ำมันดิบที่ยังยืนอยู่ในระดับสูง คาดกำไรปี ’61 ทรงตัวจากปีก่อน, Dividend Yield = 3.8% มูลค่าเหมาะสมที่ 66.00 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”
แสดงเพิ่ม