มุมคิดเศรษฐกิจ-ธุรกิจ ของ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”
คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นักวิชาการ นักธุรกิจ และงานการเมือง กับมุมมองตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจไทยว่ายังขาดอะไร นโยบายใดที่ภาครัฐต้องทำเพิ่มเติม ลงมาถึงเรื่องระดับจุลภาค เช่นการออมส่วนบุคคล ที่รัฐควรต้องเร่งสนับสนุนในช่วงที่ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคสังคมสูงวัย
เศรษฐกิจไทย และโอกาสเติบโตในอนาคต
คุณชัชชาติบอกว่าโครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป หลายคนอาจจะเติบโตมาในยุคที่เศรษฐกิจขยายตัวแบบ 7-8% ในอดีตเศรษฐกิจไทยเน้นที่เกษตรกรรมเป็นหลัก และตอนที่เราเปลี่ยนมาสู่ยุคอุตสาหกรรม แน่นอนว่าจากเดิมฐานที่ต่ำอยู่ก่อน เมื่อขยับมาสู่ภาคการส่งออก เลยทำให้เห็นอัตราการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
แต่ในช่วงที่เราเปลี่ยนมาสู่ภาคอุตสาหกรรม เราเน้นที่แรงงานราคาถูก ไม่ได้ให้น้ำหนักในเรื่องของ Innovation ของเราเอง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การเติบโตจะไม่ได้ดีขึ้นเหมือนแต่ก่อน เพราะสร้างมูลค่าเพิ่มไม่ได้เต็มที่ ประกอบกับทักษะของแรงงานไม่ได้ขยับขึ้นมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจเรียกว่า "กับดักของรายได้ปานกลาง"
แล้วถ้าอยากหลุดออกจากภาวะเช่นนี้ ต้องทำอย่างไร?
ควรจะมุ่งเน้นเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Economy) ให้มากยิ่งขึ้น ที่มี 3 หัวใจหลัก
1. SMEs ซึ่งประเทศไทยมีกิจการเอสเอ็มอีอยู่ 3 ล้านราย หรือเกือบ 8 ล้านคน
2. เกษตรกร
3. การท่องเที่ยว
คุณชัชชาติบอกว่าต้องปั้นคนกลุ่มนี้ ให้ความเป็น “Made in Thailand” เข้มแข็งขึ้น
รวมทั้งสนับสนุนการทำ R&D แบบรูปธรรม
เพราะถ้าเราไม่สามารถก้าวข้าม "กับดักของรายได้ปานกลาง" โดยเป็นผู้รับจ้างผลิตได้ ก็ต้องสร้างจุดแข็งที่มีเนื้อหาเป็นของตัวเอง
ประเทศไทย อาจจะไม่จำเป็นต้องเน้น Hi-Tech แบบจีน หรือ ไต้หวัน แต่เราสามารถเน้นไปที่ "Hi-Touch" แทน
เช่น เครื่องสำอาง สมุนไพร ของที่มีคุณภาพ หรือ เกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัย
ตลาดตรงนี้มูลค่าในอนาคตจะสูงมาก มีคาดการณ์ว่าเม็ดเงินจะสูงถึง 35 ล้านล้านบาท เป็นสินค้าที่ต้องให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย
เราไม่จำเป็นต้องตามประเทศอื่นๆ ยกเว้นสินค้าบางอย่างที่ไม่ได้ห่างกันมาก เพราะเริ่มมาพร้อมๆ กัน เช่น รถ EV ที่เรามี Supply Chain ที่ดีของเรื่องรถยนต์อยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ควรทำคือ การโฟกัสในอุตสาหกรรมให้ชัด ว่าอุตสาหกรรมไหนที่อยากจะมุ่งไป
ภาครัฐต้องมีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องความต้องการในประเทศซึ่งภาครัฐอาจต้องมีบทบาทในการช่วยเหลือ
เช่น รถ EV นั่นเพราะธุรกิจบางอย่าง ถ้าไม่มี Local Demand ธุรกิจก็เกิดขึ้นยาก
ยกตัวอย่างว่า ภาครัฐสามารถกำหนดเป็นนโยบายในการเปลี่ยนรถยนต์ภายในประเทศให้เป็น EV ได้ภายในกี่ปี
นั่นแปลว่าภาครัฐต้องมีความชัดเจนเชิงนโยบาย
การวางระบบโลจิสติกส์และคมนาคมของไทย ในอนาคตจะเริ่มมีปัญหา
เพราะการมุ่งเน้นลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เยอะ ปัญหาที่จะตามมามี 2 ประเด็นด้วยกัน คือ
1) ลืมเส้นเลือดฝอย
การทำรถไฟฟ้า 10 สาย เราลืมว่าเราจะพาคนจากสถานีรถไฟไปถึงบ้าน ถึงออฟฟิศ อย่างไร (เช่น รถเมล์ มอเตอร์ไซค์ ทางเดินเท้า ฯลฯ)
2) การนำโครงสร้างพื้นฐาน ไปสร้างมูลค่าเพิ่ม
โจทย์นี้ไม่ง่าย เพราะการสร้างเศรษฐกิจ การสร้างเมืองใหม่ มีหลายฝ่ายที่ต้องช่วยทำให้เกิด
การออมการลงทุนของคนไทย
คนไทยมีปัญหาเรื่องหนี้ และการออม อย่างที่ทุกคนทราบ ตรงนี้ ภาครัฐอาจจะต้องสนับสนุนเรื่องการออมภาคบังคับแบบจริงจัง
เราจะก้าวสู่สังคมสูงวัย ประชากรอายุ 60 ปี คิดเป็นสัดส่วน 20%ของประชากร ดังนั้นการออมเป็นเรื่องสำคัญมาก
การออม ต้องเริ่ม ณ วันนี้
ตลาดทุนเป็นแรงส่งที่สำคัญ เชื่อมโยงกับการออม เพราะการออมแบบอื่นนั้น อัตราผลตอบแทนก็ค่อนข้างยากที่จะนำไปสู่เป้าหมายให้สำเร็จ แต่ต้องมีการกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม
คนไทยจะออมได้ด้วยการศึกษา เข้าใจเป้าหมาย เน้นการออมก่อนใช้
ถ้าเราไม่มีวินัย จะเก็บออมยาก เป็นเรื่องที่คนอื่นบังคับเราไม่ได้ เราต้องเข้าใจด้วยตัวเองเราต้องการอะไรในอนาคต
ประโยชน์ของตลาดทุน มี 3 ประเด็น :
1.สามารถช่วยระดมทุนได้
2.มีความโปร่งใส
3 ลดความเหลื่อมล้ำ ถ้าเราเข้าใจระบบ
จากเศรษฐกิจของประเทศ ลงมาสู่รากฐานคือทรัพยากรคน ทั้งหมดเป็นมุมมองทั้งเรื่องโอกาส อุปสรรค และความท้าทายของประเทศไทยของบุคคลท่านนี้ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”
แสดงเพิ่ม