หุ้นไทยปรับตัวร่วงจากแรงขายต่างชาติ ดัชนีไหลลงต่อเนื่อง แต่เริ่มน่าสนใจที่จะทยอยสะสมหุ้น
AIRA มองว่าตลาดหุ้นไทย อยู่ในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาค ที่ได้รับปัจจัยกดดันจาก Fund Flow ไหลออกต่อเนื่องนับจากเดือนที่ผ่านมา นำโดยไต้หวันประมาณ 1,000 ล้าน USD รองลงมาเป็นเกาหลีใต้ ประมาณ 600 ล้าน USD และไทย อีกประมาณ 459 ล้าน USD
ส่วนประเด็นบ้านเราหลักๆ ยังอยู่ในช่วงของการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1
ทิศทาง Fund Flow หลังจากนี้ยังมีโอกาสที่จะไหลออกจาก Emerging Market รวมถึงบ้านเรา ภายใต้ 2 ประเด็น
(1) การส่งสัญญาณของเฟดที่ค่อนข้างชัดเจนในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาดี และอยู่ในความคาดหมาย ทั้งอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดย FED จะมีการประชุมเดือนหน้า (12 – 13/6/61) คาดน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้อย่างน้อย 0.25% จากปัจจุบันอยู่ 1.50 – 1.75% หลังจากต้นปีที่ผ่านมาขึ้นไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา
(2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อยู่ใกล้กับระดับสูงสุดในรอบเกือบ 5 ปี ( อายุ 10 ปี อยู่ที่ 3.03% เมื่อปลายปี’56 ) ซึ่งเป็นการสะท้อนความแข็งแกร่งเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าต้นทุนเงินกู้ยืม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งหาก Bond Yield ปรับเพิ่มขึ้นอีก คาดเป็นอีก 1 ประเด็นที่สำคัญทำให้ Flow ไหลออก
ในเรื่องของค่าเงิน ภายใต้การพิจารณา 2 ประเด็นข้างต้น หากเงินทุนไหลออก คนขายบาทแล้วนำเงินสหรัฐฯ ออกไป จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังเงินบาทอ่อนค่า จะเป็น Sentiment ลบ ต่อการนำเข้าแต่กลุ่มส่งออก จะได้รับประโยชน์ จากรายได้ในรูปเงินบาทที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มอิเลคทรอนิคส์เป็นต้น
ส่วนบ้านเราเอง สัปดาห์หน้าจะมีการประชุมของ กนง. วันพุธที่ 16 คาดในครั้งนี้น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% แม้อัตราเงินเฟ้อ เม.ย.’61 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ ประมาณ 1.0% แต่ยังต่ำเมื่อเทียบเป้าหมายปี’ 61 ที่ 2.5%±1.5% และอาจจะต้องเผชิญแรงขายทำกำไร หรือ Sell On Fact หลังหมดช่วงประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ช่วงกลางสัปดาห์หน้า
แต่เราให้น้ำหนักประเด็นต่างประเทศ และแนะติดตามต่อเนื่องหลังจากนี้ไป โดยเฉพาะนโยบายของสหรัฐฯ ที่ออกมาอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้ เช่นเดียวกับที่มีมาต่อเนื่องในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา ทั้ง
(1) การประกาศการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน
(2) การโจมตีซีเรีย
และล่าสุดการประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน พร้อมระบุว่าจะดำเนินการคว่ำบาตรต่ออิหร่านครั้งใหม่ในระดับสูงสุด
ในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คาดสะท้อนประเด็นที่สหรัฐฯ จะคว่ำบาตรต่ออิหร่านครั้งใหม่ไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง ซึ่งอิหร่านเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ( โอเปก ) มากกว่า 2.6 ล้านบาร์เรล / วันหลังลงนามในข้อตกลงเมื่อปี’ 58 กับกลุ่มประเทศ P5+1 ( จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และเยอรมนี ) ซึ่งผ่อนปรนการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน แลกกับการที่อิหร่านระงับการพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์และคาดสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรใหม่ครั้งนี้ จะส่งผลต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่านจำนวน 0.2 – 1.0 ล้านบาร์เรล/วัน โดยตลาดจะเริ่มได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรดังกล่าวตั้งแต่ปี’ 62
แต่หลังจากนี้ราคาน้ำมัน ยังมีปัจจัยหนุนจากก่อนหน้านี้ที่คาดมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มโอเปกจะขยายระยะเวลาปรับลดการผลิตจากเดิมครบกำหนดปลายปีนี้ ซึ่งกลุ่มโอเปก ประชุมในวันที่ 22/6/61โดยหุ้นในกลุ่มพลังงานที่น่าสนใจ ยังเป็น PTT และ PTTEP
ภาพรวมตลาดหุ้นไทย แม้ได้รับปัจจัยหนุนจากปัจจัยในประเทศโดยเฉพาะทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคส่งออกและท่องเที่ยว แต่ภายใต้ความเสี่ยงจากประเด็นต่างประเทศ จาก
(1) นโยบายการเงิน รวมถึงนโยบายกีดกันทางการค้า และความไม่แน่นอนนโยบายของสหรัฐฯ
(2) Fund Flow ออกจาก Emerging Market รวมถึงไทย และ
(3) ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมคาดอาจเผชิญแรงขายทำกำไร ( Sell on Fact ) หลังหมดช่วงประกาศผลประกอบการกลางเดือน พ.ค. นี้ ทำให้เรามองกรอบดัชนีในเดือนนี้ 1,710 – 1,800 จุด
AIRA กำหนดกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้แนะนำเป็น Domestic Play และมีประเด็นความน่าสนใจเฉพาะตัวในเชิงพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่ง โดย Top Pick ที่ AIRA แนะนำคือ “ UNIQ “ โดยมองว่า “ เป็นโอกาสในการสะสมหุ้น ” จากเหตุผลดังต่อไปนี้
Backlog สิ้นปี’60 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ UNIQ อยู่ที่ 40,000 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง 2H/61 มีแผนเข้าร่วมประมูล เช่น
(1) โครงการรถไฟทางคู่ – Phase 2 จำนวน 9 เส้นทาง มูลค่ารวม 300,000 ล้านบาท
(2) รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่างานก่อสร้าง ประมาณ 80,000 ล้านบาท
(3) ทางด่วนพระราม 3 มูลค่าประมาณ30,000 ล้านบาท และ
(4) โครงการท่อร้อยสายไฟลงดิน ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องของ กฟน. จำนวน 5 สัญญา มูลค่ารวม ประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นต้น
คาดผลการดำเนินงาน 2H/61 ดีกว่า 1H/61 ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของ UNIQ อยู่ในระดับที่ดีมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน ( ITD, CKและ STEC ) คาด Gross Profit Margin ปี’ 61 เฉลี่ยยังสูง อยู่ที่ 18.5% ขณะที่คาดรายได้งานก่อสร้าง 13,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% และคาดกำไรสุทธิ 905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2%
โอกาสในการเข้าสะสมภายใต้ระดับราคาปัจจุบันที่ซื้อขายบน PE เพียง 15 เท่า ซึ่งค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐานที่คาดยังมี Upside จากศักยภาพและโอกาสในการรับงานเพิ่ม
ประเมินราคาเป้าหมายปี’ 61 ที่ 21.00 บาท
แสดงเพิ่ม