รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 724 หุ้นไทยร่วงต่อเนื่อง ได้เวลาซื้อแล้วหรือยัง | AIRA

รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 724 หุ้นไทยร่วงต่อเนื่อง ได้เวลาซื้อแล้วหรือยัง | AIRA

รับชม 1 ครั้ง|
ชอบ
ไม่ชอบ
แชร์
thunkhaochannel
636 วิดีโอ
หุ้นไทยปรับตัวร่วงจากแรงขายต่างชาติ ดัชนีไหลลงต่อเนื่อง แต่เริ่มน่าสนใจที่จะทยอยสะสมหุ้น AIRA มองว่าตลาดหุ้นไทย อยู่ในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาค ที่ได้รับปัจจัยกดดันจาก Fund Flow ไหลออกต่อเนื่องนับจากเดือนที่ผ่านมา นำโดยไต้หวันประมาณ 1,000 ล้าน USD รองลงมาเป็นเกาหลีใต้ ประมาณ 600 ล้าน USD และไทย อีกประมาณ 459 ล้าน USD ส่วนประเด็นบ้านเราหลักๆ ยังอยู่ในช่วงของการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ทิศทาง Fund Flow หลังจากนี้ยังมีโอกาสที่จะไหลออกจาก Emerging Market รวมถึงบ้านเรา ภายใต้ 2 ประเด็น (1) การส่งสัญญาณของเฟดที่ค่อนข้างชัดเจนในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาดี และอยู่ในความคาดหมาย ทั้งอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดย FED จะมีการประชุมเดือนหน้า (12 – 13/6/61) คาดน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้อย่างน้อย 0.25% จากปัจจุบันอยู่ 1.50 – 1.75% หลังจากต้นปีที่ผ่านมาขึ้นไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา (2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อยู่ใกล้กับระดับสูงสุดในรอบเกือบ 5 ปี ( อายุ 10 ปี อยู่ที่ 3.03% เมื่อปลายปี’56 ) ซึ่งเป็นการสะท้อนความแข็งแกร่งเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าต้นทุนเงินกู้ยืม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งหาก Bond Yield ปรับเพิ่มขึ้นอีก คาดเป็นอีก 1 ประเด็นที่สำคัญทำให้ Flow ไหลออก ในเรื่องของค่าเงิน ภายใต้การพิจารณา 2 ประเด็นข้างต้น หากเงินทุนไหลออก คนขายบาทแล้วนำเงินสหรัฐฯ ออกไป จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังเงินบาทอ่อนค่า จะเป็น Sentiment ลบ ต่อการนำเข้าแต่กลุ่มส่งออก จะได้รับประโยชน์ จากรายได้ในรูปเงินบาทที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มอิเลคทรอนิคส์เป็นต้น ส่วนบ้านเราเอง สัปดาห์หน้าจะมีการประชุมของ กนง. วันพุธที่ 16 คาดในครั้งนี้น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% แม้อัตราเงินเฟ้อ เม.ย.’61 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ ประมาณ 1.0% แต่ยังต่ำเมื่อเทียบเป้าหมายปี’ 61 ที่ 2.5%±1.5% และอาจจะต้องเผชิญแรงขายทำกำไร หรือ Sell On Fact หลังหมดช่วงประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ช่วงกลางสัปดาห์หน้า แต่เราให้น้ำหนักประเด็นต่างประเทศ และแนะติดตามต่อเนื่องหลังจากนี้ไป โดยเฉพาะนโยบายของสหรัฐฯ ที่ออกมาอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้ เช่นเดียวกับที่มีมาต่อเนื่องในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา ทั้ง (1) การประกาศการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน (2) การโจมตีซีเรีย และล่าสุดการประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน พร้อมระบุว่าจะดำเนินการคว่ำบาตรต่ออิหร่านครั้งใหม่ในระดับสูงสุด ในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คาดสะท้อนประเด็นที่สหรัฐฯ จะคว่ำบาตรต่ออิหร่านครั้งใหม่ไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง ซึ่งอิหร่านเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ( โอเปก ) มากกว่า 2.6 ล้านบาร์เรล / วันหลังลงนามในข้อตกลงเมื่อปี’ 58 กับกลุ่มประเทศ P5+1 ( จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และเยอรมนี ) ซึ่งผ่อนปรนการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน แลกกับการที่อิหร่านระงับการพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์และคาดสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรใหม่ครั้งนี้ จะส่งผลต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่านจำนวน 0.2 – 1.0 ล้านบาร์เรล/วัน โดยตลาดจะเริ่มได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรดังกล่าวตั้งแต่ปี’ 62 แต่หลังจากนี้ราคาน้ำมัน ยังมีปัจจัยหนุนจากก่อนหน้านี้ที่คาดมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มโอเปกจะขยายระยะเวลาปรับลดการผลิตจากเดิมครบกำหนดปลายปีนี้ ซึ่งกลุ่มโอเปก ประชุมในวันที่ 22/6/61โดยหุ้นในกลุ่มพลังงานที่น่าสนใจ ยังเป็น PTT และ PTTEP ภาพรวมตลาดหุ้นไทย แม้ได้รับปัจจัยหนุนจากปัจจัยในประเทศโดยเฉพาะทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคส่งออกและท่องเที่ยว แต่ภายใต้ความเสี่ยงจากประเด็นต่างประเทศ จาก (1) นโยบายการเงิน รวมถึงนโยบายกีดกันทางการค้า และความไม่แน่นอนนโยบายของสหรัฐฯ (2) Fund Flow ออกจาก Emerging Market รวมถึงไทย และ (3) ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมคาดอาจเผชิญแรงขายทำกำไร ( Sell on Fact ) หลังหมดช่วงประกาศผลประกอบการกลางเดือน พ.ค. นี้ ทำให้เรามองกรอบดัชนีในเดือนนี้ 1,710 – 1,800 จุด AIRA กำหนดกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้แนะนำเป็น Domestic Play และมีประเด็นความน่าสนใจเฉพาะตัวในเชิงพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่ง โดย Top Pick ที่ AIRA แนะนำคือ “ UNIQ “ โดยมองว่า “ เป็นโอกาสในการสะสมหุ้น ” จากเหตุผลดังต่อไปนี้ Backlog สิ้นปี’60 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ UNIQ อยู่ที่ 40,000 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง 2H/61 มีแผนเข้าร่วมประมูล เช่น (1) โครงการรถไฟทางคู่ – Phase 2 จำนวน 9 เส้นทาง มูลค่ารวม 300,000 ล้านบาท (2) รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่างานก่อสร้าง ประมาณ 80,000 ล้านบาท (3) ทางด่วนพระราม 3 มูลค่าประมาณ30,000 ล้านบาท และ (4) โครงการท่อร้อยสายไฟลงดิน ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องของ กฟน. จำนวน 5 สัญญา มูลค่ารวม ประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นต้น คาดผลการดำเนินงาน 2H/61 ดีกว่า 1H/61 ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของ UNIQ อยู่ในระดับที่ดีมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน ( ITD, CKและ STEC ) คาด Gross Profit Margin ปี’ 61 เฉลี่ยยังสูง อยู่ที่ 18.5% ขณะที่คาดรายได้งานก่อสร้าง 13,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% และคาดกำไรสุทธิ 905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% โอกาสในการเข้าสะสมภายใต้ระดับราคาปัจจุบันที่ซื้อขายบน PE เพียง 15 เท่า ซึ่งค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐานที่คาดยังมี Upside จากศักยภาพและโอกาสในการรับงานเพิ่ม ประเมินราคาเป้าหมายปี’ 61 ที่ 21.00 บาท
แสดงเพิ่ม