รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 754 หุ้นไทยปรับฐานต่อเนื่อง ลงทุนอย่างไร | บล.ไอร่า

รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 754 หุ้นไทยปรับฐานต่อเนื่อง ลงทุนอย่างไร | บล.ไอร่า

รับชม 0 ครั้ง|
ชอบ
ไม่ชอบ
แชร์
thunkhaochannel
636 วิดีโอ
บล.ไอร่า มองตลาดช่วงนี้อยู่ในช่วงรีบาวน์ หลังจากดัชนีกลับมายืน 1,600 จุด โดยไม่หลุดลงไป ระยะสั้นมองอาจขึ้นไปทดสอบที่ 1,655 จุดได้ กลยุทธ์ลงทุนต้องเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเข้ามา หรือทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ที่ราคาปรับตัวลงมาแรง โดยกลุ่มที่ปัจจัยพื้นฐานดี แต่ราคาปรับฐานลงมา ให้หาจังหวะเข้าเก็บหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ขนส่ง พาณิชย์ และการเงิน โดยถ้านับจากต้นปี เป็นการขายต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติเกือบ 200,000 ล้านบาท ถือว่าค่อนข้างสูงมาก แม้จะมีแรงซื้อจากสถาบันในประเทศและนักลงทุนรายย่อย แต่ก็ถือว่ากดดันดัชนีตลาดได้มาก จากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ล่าสุดเริ่มแข็งค่าขึ้นมาเรื่อยๆ สังเกตจากดัชนี USD index ล่าสุดอยู่ที่ 94.9 ใกล้จุดสูงสุดในรอบ 1 ปี ส่วนค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลง ล่าสุดอยู่ที่ 33.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากลงไปแข็งค่าบริเวณ 31.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศค่อนข้างผันผวน ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปรับตัวเป็นขาขึ้น ยังไม่น่าเป็นห่วง ล่าสุดสามารถยืนได้เหนือ 25,000 จุด ซึ่งประเด็นเกี่ยวกับนโยบายการกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก และยังคงต้องจับตาดู โดยล่าสุดสหรัฐและจีนได้เก็บภาษีสินค้านำเข้ามูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อกันและกัน และปธน.ทรัมป์ขู่เก็บภาษีสินค้าจีนมูลค่ากว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ครอบคลุมการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐจากจีน ยกเว้นว่าจีนจะตกลงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญาและแผนอุดหนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูง แต่ในอีกด้านนึง ทางญี่ปุ่นกับ EU ก็มีการเจรจาลดภาษีระหว่างกัน ส่งผลให้รถยนต์ญี่ปุ่นที่จะเข้าไปขายใน EU มีภาษีต่ำลง และผลิตภัณฑ์อาหารจาก EU ที่จะเข้าญี่ปุ่นก็จะได้รับภาษีที่ถูกลง เช่นกัน จะเห็นได้ว่านานาประเทศไม่ได้ไปเข้าร่วมสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ก็เปนเรื่องดี แต่ประเด็นที่ตลาดเริ่มมีความกังวล คือประเด็นเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ยังเป็นขาขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ 2.9% โดยตลาดกังวลว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น แต่เบื้องต้นตลาดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในช่วง ก.ย. และ ธ.ค. โดยนัดต่อไปที่เฟดจะประชุมกันในวันที่ 31 ก.ค.-1 ส.ค. คาดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50-1.75% ส่วนหากจะมีการปรับขึ้นอีกครั้งก็คงเป็นเดือน ก.ย. ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง คาด GDP สหรัฐฯอยู่ที่ 2.5-2.75% อัตราว่างงานสหรัฐฯ อยู่ในระดับ 3.9% ต่ำสุดในรอบ 17 ปี ถือว่าดีมาก เงินเฟ้อก็เป็นไปตามเป้าหมายของเฟดที่ 2.0% ส่วนประเด็นในประเทศมีข่าวดีต่อเนื่อง โดยล่าสุดกระทรวงการคลังจะทบทวนคาด GDP ปี 2561 โดยจะปรับขึ้นเป็น 4.5% สูงสุดในรอบ 6 ปี หลังกระทรวงพาณิชย์รายงาน GDP ไทยในช่วง 1Q/61 ออกมาที่ 4.8% โดยเป็นผลมาจากปัจจัยสนับสนุนสำคัญเรื่องการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการเดินหน้าลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทำให้คาดว่าในปีนี้ภาพรวมการลงทุนของภาครัฐจะขยายตัวได้สูงกว่า 10% จากคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 8.9% รวมถึงการส่งออกที่ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้สูงกว่า 8-9% เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้เป็นอย่างดี กลยุทธ์การลงทุน เน้น stock pick เลือกหุ้นในกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น ดังนี้ 1) กลุ่มการเงิน คาดผลการดำเนินงาน 2Q/61 จะออกมาดี และเติบโตต่อเนื่อง เช่น AEONTS, MTC 2) กลุ่มปิโตรเคมี ผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง และปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น เช่น IVL, PTTGC 3) กลุ่มพลังงาน คาดผลการดำเนินได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น PTT, PTTEP และราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับสูง เช่น BANPU 4) กลุ่มพาณิชย์ ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เช่น GLOBAL, HMPRO 5) กลุ่มขนส่ง ได้รับประโยน์จากการฟื้นตัวของค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้น เช่น PSL ส่วนวันนี้แนะนำหุ้นในกลุ่มพลังงาน นั่นคือ บริษัท พรีเชียส ชิปปิ้ง จำกัด (มหาชน) (PSL) โดยมีประเด็นดังนี้ แนวโน้มค่าระวางเรือปรับตัวเพิ่มขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ 1,721 จุด สูงสุดในรอบ 4 ปี ครึ่ง จากปริมาณความต้องการขนส่งสินแร่ เช่น เหล็ก ถ่านหินและธัญพืช ที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตดี ระยะกลาง มุมมองด้าน Demand-Supply เข้าสู่สมดุลขึ้นเป็นลำดับ สอดคล้องกับที่สำนักต่างๆ ประเมินกันว่า Supply ของเรือเทกองจะเพิ่มขึ้นเพียงราว 1-2% ในปี 61-62 ขณะที่ Demand จะเติบโตสัมพันธ์กับเศรษฐกิจโลกที่ราว 4% มุมมองระยะยาว ปัจจัยด้านกฏเกณฑ์ ได้แก่ ข้อตกลงการจัดการน้ำถ่วงเรือ และเกณฑ์การจำกัดค่ากำมะถันในเชื้อเพลิง ที่จะบังคับใช้ในปี 2562-2563 จะยิ่งกดดันให้เรืออายุมากปลดระวางเรือเร็วขึ้น แนวโน้ม 2Q61 ผลประกอบการดีขึ้น เทียบกับ 1Q61 ที่มีกำไรสุทธิ 108 ล้านบาท จากภาคอุตสาหกรรมหนักของจีนที่กลับมาผลิตเป็นปกติ (ช่วงฤดูหนาวถูกปิดบางส่วนจากปัญหาหมอกควัน) โดยล่าสุดค่าเฉลี่ย QTD ของค่าระวางเรือ Handysize และ Supramax ซึ่งเป็นขนาดเรือของ PSL เพิ่มขึ้น 5.3% และ 10.4% QoQ ตามลำดับ การกีดกันการค้าเสรี (Protectionism) นำโดยสหรัฐฯ ประเมินว่ามีโอกาสน้อยที่จะนำไปสู่ส่งครามการค้า และหากเกิดสงครามการค้าจริง จะเป็นบวกต่ออุตสาหกรรมเรือเทกอง จาก Demand ของสินค้าต่างๆ ที่ไม่ยืดหยุ่น กล่าวคือหากไม่นำเข้าจากแหล่งเดิมก็จำเป็นต้องนำเข้าจากแหล่งอื่นทดแทน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ระยะทางขนส่งไกลกว่าเดิม ประเมินด้วย EV/EBITDA ที่ราว 17x (+1.75 SD) ได้มูลค่าเหมาะสมที่ 18.00 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”
แสดงเพิ่ม