รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 772 แนวโน้มหุ้นไทยจากมุมมอง บล.ไอร่า

รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 772 แนวโน้มหุ้นไทยจากมุมมอง บล.ไอร่า

รับชม 0 ครั้ง|
ชอบ
ไม่ชอบ
แชร์
thunkhaochannel
636 วิดีโอ
"ตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้น เป็นจังหวะในการสะสมหุ้น แต่เน้นซื้อหุ้นที่ขึ้นช้าหรือราคาปรับลงมา มากกว่าจะไล่ราคาหุ้น" บล.ไอร่ามองตลาดช่วงนี้เป็นขาขึ้น หลังดัชนีสามารถยืนที่ 1,710 จุด ได้ ระยะสั้นมองอาจขึ้นไปทดสอบที่ 1,750 จุดได้ การที่ดัชนีปรับขึ้นช่วงนี้มาจากแรงซื้อของสถาบันในประเทศเป็นหลัก กลยุทธ์ลงทุนต้องเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเข้ามา หรือทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ที่ราคาปรับตัวลงมาแรง โดยกลุ่มที่ปัจจัยพื้นฐานดี แต่ราคาปรับฐานลงมา ให้หาจังหวะเข้าเก็บหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ขนส่ง ธนาคาร และการเงิน โดยถ้านับจากต้นปี เป็นการขายต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติเกือบ 200,000 ล้านบาท ถือว่าค่อนข้างสูงมาก เทียบกับปี 2560 ที่ต่างชาติขายไปเพียงประมาณ 25,000 ล้านบาท แต่มีแรงซื้อจากสถาบันในประเทศและนักลงทุนรายย่อย ทำให้ดัชนียังยืนเหนือ 1,700 จุดได้ การที่ต่างชาติขายหนักก็มาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แต่มองว่าจากนี้ไปแรงขายต่างชาติน่าจะชะลอตัวลงแล้ว โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มอ่อนค่า สังเกตจากดัชนี USD index ล่าสุดอยู่ที่ 94.7 หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 97.0 จุดในช่วงกลางเดือน ส.ค. ส่วนค่าเงินบาทก็มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่า ล่าสุดอยู่ที่ 32.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศค่อนข้างผันผวน แต่ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปรับตัวเป็นขาขึ้น ยังไม่น่าเป็นห่วง ล่าสุดสามารถยืนได้เหนือ 26,000 จุด ซึ่งประเด็นเกี่ยวกับนโยบายการกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก และยังคงต้องจับตาดู โดยล่าสุดสหรัฐและจีนได้เก็บภาษีสินค้านำเข้าสินค้า 25% มูลค่ารวม 5.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อกันและกัน แบ่งเป็นที่ประกาศรอบแรกตอนเดือน ก.ค. 3.4 หมื่นล้านและรอบ 2 เมื่อ 23 ส.ค. อีก 1.6 หมื่นล้าน รวมเป็น 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปธน.ทรัมป์ขู่เก็บภาษีสินค้าจีนมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งยังคงต้องจับตาดูต่อไป หลังจากการเจรจาระหว่างจีน-สหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่ปัจจัยระยะสั้นจะได้รับผลบวกหลังจากสหรัฐ-เม็กซิโกได้บรรลุข้อตกลงทวิภาคไปแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตอนนี้ตลาดยังคงจับตาการเจรจาระหว่างสหรัฐ-แคนาดา หากสามารถเจรจากันได้ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประกอบกับผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวสู่ระดับ 133.4 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2543 จากระดับ 127.4 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อมุมมองทางเศรษฐกิจ อีกประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมาอยู่ที่ 75 USD/bbl ใกล้จุดสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง โดยได้รับปัจจัยบวกจากมติคว่ำบาตรต่ออิหร่านของสหรัฐฯ ส่งผลให้ปริมาณผลิตน้ำมันดิบของอิหร่านอยู่ที่ 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2560 อย่างไรก็ตามเราคาดว่าทางกลุ่มโอเปคจะพยายามควบคุมราคาน้ำมันดิบให้อยู่ในช่วง 70-80 USD/bbl ซึ่งมองว่าเป็นราคาที่รับได้ทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการใช้มากนัก ผ่านการควบคุมปริมาณการผลิต โดยราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูงเช่นนี้จะส่งผลดีต่อ PTT, PTTEP และ PTTGC และกลุ่มโรงกลั่นจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันดิบ โดยล่าสุดเมื่อ ก.ค. 2561 สศค.คาด GDP ปี 2561 อยู่ที่ 4.5% สูงสุดในรอบ 6 ปี หลังกระทรวงพาณิชย์รายงาน GDP ไทยในช่วง 1H/61 อยู่ที่ 4.8% โดยเป็นผลมาจากปัจจัยสนับสนุนสำคัญเรื่องการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการเดินหน้าลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทำให้คาดว่าในปีนี้ภาพรวมการลงทุนของภาครัฐจะขยายตัวได้ 7.9% รวมถึงการส่งออกที่ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 9.7% เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้เป็นอย่างดี กลยุทธ์เน้น stock pick เลือกหุ้นในกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น ดังนี้ 1) กลุ่มธนาคาร ภาพ NPL เริ่มคงที่ ตั้งสำรองลดลง เช่น BBL, KTB 2) กลุ่มการเงิน คาดผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง เช่น MTC 3) กลุ่มปิโตรเคมี ผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง และปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น เช่น IVL, PTTGC 4) กลุ่มพลังงาน คาดผลการดำเนินได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น PTT, PTTEP และค่าการกลั่นที่ฟื้นตัว+ ปันผลสูง เช่น SPRC 5) กลุ่มขนส่ง ได้รับประโยน์จากภาพรวมการท่องเที่นสเติบโต เช่น AOT และการฟื้นตัวของค่าระวางเรือ เช่น PSL ส่วนหุ้นแนะนำวันนี้ แนะนำหุ้นในกลุ่มพลังงาน นั่นคือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) โดยมีประเด็นดังนี้ - PTT อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมสำหรับแผนงาน New S-Curve เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต เช่น การแยกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกออกมาเป็น PTTOR เพื่อการดำเนินงานที่คล่องตัวมากขึ้น พร้อมที่จะเติบโตในธุรกิจค้าปลีก โดยการโอนสินทรัพย์ให้ PTTOR มีผลแล้วเมื่อ 1 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา คาดจะมีการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวในช่วง 3Q/61 และเบื้องต้นคาด PTTOR จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วง 2Q/62 - เราคาดผลการดำเนินงานของ PTT จะยังคงแข็งแกร่งในช่วง 2H/61 ทั้งจากธุรกิจท่อส่งก๊าซที่มั่นคง และโรงแยกก๊าซที่คาดผลการดำเนินงานจะยังคงโดดเด่นตามราคาน้ำมันดิบที่ยังยืนอยู่ในระดับสูง - คาดกำไรปี ’61 ทรงตัวจากปีก่อน, Dividend Yield = 3.8% - มูลค่าเหมาะสมที่ 66.00 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”
แสดงเพิ่ม