รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 760 ทิศทางตลาดหุ้นเดือนสิงหาคม | AIRA

รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 760 ทิศทางตลาดหุ้นเดือนสิงหาคม | AIRA

รับชม 0 ครั้ง|
ชอบ
ไม่ชอบ
แชร์
thunkhaochannel
636 วิดีโอ
"หุ้นไทยเดือนสิงหาคมน่าจะขึ้นได้ต่อ แต่จะไม่ร้อนแรงเหมือนเดือนที่แล้ว หั้นน่าสนใจคือ STEC" บล. ไอร่า มองว่าตลาดหุ้นบ้านเราภาพรวมตลาดเดือน ก.ค. ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 100 จุด หลังลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดของปีที่ประมาณ 1,595.58 จุด เมื่อช่วงปลายเดือน มิย. โดยรวม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวได้ค่อนข้างดี ภายใต้ปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะแรงซื้อกลับเข้ามากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่ผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาดีกว่าคาด และกลุ่มพลังงานที่ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมัน นอกจากนี้ยังได้รับ Sentiment บวกจาก Fund Flow หลังแรงขายสุทธิต่างชาติในเดือนกรกฎาคมชะลอตัวลงเหลือ ประมาณ 10,600 ล้านบาท ลดลงจากเฉลี่ยประมาณ 30,000 ล้านบาท/เดือน ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ยังมีแรงเก็งกำไรทั้งผลประกอบการไตรมาส 2 และเงินปันผลในช่วง 1H/61 ส่วนประเด็นต่างประเทศแม้ยังถูกกดดัน จากประเด็นการสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีน และ EU แต่ส่วนใหญ่มองว่าตลาดสะท้อนไปบ้างแล้ว ส่วนเดือนสิงหาคมนี้ มองว่ายังขึ้นได้ต่อแต่อาจขึ้นได้อย่างจำกัด จากแรงเก็งกำไรผลประกอบการและเงินปันผล อย่างไรก็ตามอาจเผชิญกับแรงขาย หรือ Sell on Fact หลังหมดช่วงประกาศงบประมาณกลางส.ค. พร้อมกับ Fund Flow ที่คาด Sentiment เป็นบวกจากแรงขายสุทธิของต่างชาติที่เริ่มชะลอ และมีแรงซื้อสุทธิสลับเข้ามา ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานคาดได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมัน ที่คาดทรงตัวในระดับสูง 65 - 70USD ภายใต้ปัจจัยหนุนจากการส่งออกของซาอุดิอาระเบียที่ลดลงในเดือนนี้ และคาดสต็อกน้ำมันในตลาดโลก – 3Q/61 มีแนวโน้มลดลง จากความต้องการใช้น้ำมันจำนวนมาก สำหรับการประชุม กนง. สัปดาห์หน้า (พุธที่ 8 สค.) คาดยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ซึ่งคาดไม่มีผลต่อภาพรวมตลาด ยกเว้นมีการส่งสัญญาณที่จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เบื้องต้นเราคาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย น่าจะเริ่มเห็นในปีหน้า ทางด้านประเด็นต่างประเทศ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน คาด Sentiment ดีขึ้นโดยเฉพาะจากความพยายามในการเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งทางการค้า ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และ EU ซึ่งหากการต่อรองสำเร็จ คาดเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมตลาดต่อไป แต่อาจมีประเด็นความเสี่ยง จากความไม่แน่นอนนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งหากมีการประกาศออกมาเพิ่มและเลวร้ายกว่าที่ตลาดฯ รับรู้ก่อนหน้า หลังเดือนที่ผ่านมาสหรัฐฯ ประกาศออกมาว่าอาจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน มูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านUSD ซึ่งเท่ากับมูลค่าที่สหรัฐฯนำเข้าจากจีนในปีที่ผ่านมาคาดอาจทำให้เกิดความขัดแย้งและส่งผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไปและคาดกลับมาเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมตลาดฯ พร้อมติดตาม Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปี หลังขึ้นไประดับสูงสุดที่ 3.07% เมื่อกลางพ.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุดปรับเพิ่มขึ้นมาใกล้ระดับ 3.0% คาดอาจกลับมาเป็นประเด็นกดดันต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง ซึ่งเดือนสิงหาคม ไอร่ามองแนวต้านไว้ที่ 1,760 จุด กลยุทธ์คือแนะนำหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึง (1) หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการส่งออกที่คาดในปีนี้จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% (2) หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว ตัวเลขนักท่องเที่ยว 1H/61 เติบโต 12% เกือบ 20 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน 6 ล้านคน ขยายตัว 26% (3) หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐ จากแผนเร่งรัดเปิดประมูลโครงการต่างๆ ในช่วง 2H/61 (4) หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตดีขึ้นตามลำดับ ภายใต้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยหุ้นที่น่าสนใจในเดือนนี้ ได้แก่ AOT, กลุ่มธนาคาร (BBL และ KTB), BANPU, COM7, SVI, STEC และ TKN เป็นต้น ส่วน Top Pick ที่ AIRA นำเสนอในวันนี้ แนะนำเป็น “STEC “ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่โดยในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับกลุ่ม - จากความไม่แน่นอน / ล่าช้า ในการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ในช่วง 1H/61 ส่งผลต่อภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกดดันราคาหุ้น ภายใต้ความกังวลต่อปริมาณงานก่อสร้างไม่เป็นไปตามคาด ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องของปริมาณงานก่อสร้างที่มีอยู่ในมือ (Backlog) และอาจส่งผลต่อการรับรู้รายได้ในอนาคต - ขณะที่คาดภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง 2H/61 ดีกว่า 1H/61 ภายใต้แผนการเร่งรัดเปิดประมูลโครงการที่มีความพร้อม เช่น โครงการรถไฟทางคู่ Phase II จำนวน 9 เส้นทาง (2,174 กม.) มูลค่ารวม ประมาณ 427,000 ล้านบาท และทางด่วนพระราม 3 – ดาวคะนอง มูลค่า ประมาณ 30,000 ล้านบาท เป็นต้น - นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงสนามบินสุวรรณภูมิ - ดอนเมือง – อู่ตะเภา มูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งกำหนดยื่นซองในวันที่ 12/11/61 ขณะที่ STEC ยังมีความน่าสนใจในเชิงพื้นฐาน - ในระยะสั้น จากผลประกอบการ 2Q/61 คาดยังอยู่ในระดับที่ดี คาดกำไรสุทธิทรงตัว yoy อยู่ที่ 241 ล้านบาท แม้คาด Gross Profit Margin ลดลงจาก 2Q/60 แต่ได้รับการชดเชยจากรายได้งานก่อสร้างที่คาดเติบโต 17% อยู่ที่ 5,148 ล้านบาท ขณะที่ใน 1Q/61 มีบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุน 56 ล้านบาท ทำให้คาดกำไรสุทธิ ลดลง 18%qoq - คาดระดับ Backlog หลัง 2Q/61 ยังอยู่ในระดับสูง ประมาณ 120,000 ล้านบาทคาดเพียงพอต่อการรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 4 ปีข้างหน้า แม้ไม่มีมูลค่างานใหม่เข้ามา อย่างไรก็ตาม STEC ยังมีโอกาสในการรับงาน จากโครงการต่างๆ ที่เปิดประมูลในช่วง 2H/61 - คาดการณ์ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อ 1Q/61 และมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับพร้อมมีแนวโน้มปรับเพิ่มกำไรสุทธิ หลังคาด Gross Profit Margin 1H/61 ประมาณ 7.60% สูงกว่าที่ประมาณการไว้ที่ 7.0% ซึ่งคาดทำให้ประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10% จากเดิมทำไว้ที่ ประมาณ 1,000 ล้านบาท ประเมินราคาเป้าหมายปี’61 ที่ 23.00 บาท
แสดงเพิ่ม