รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 745 หุ้นไทยเริ่มฟื้น หลังร่วงหนัก ควรลงทุนอย่างไร | AIRA

รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 5 EP 745 หุ้นไทยเริ่มฟื้น หลังร่วงหนัก ควรลงทุนอย่างไร | AIRA

รับชม 0 ครั้ง|
ชอบ
ไม่ชอบ
แชร์
thunkhaochannel
636 วิดีโอ
บล. ไอร่า มองว่าตลาดหุ้นบ้านเราภาพรวมเป็นไปตามตลาดภูมิภาค ซึ่งได้รับปัจจัยกดดันหลักๆ จาก 2 ประเด็น ประเด็นแรก การทำสงครามการค้าที่มีน้ำหนักกดดันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสูงสุด และหลังจากการตอบกันไปมาจากการทยอยประกาศรายชื่อสินค้าที่เก็บภาษีนำเข้า อัตรา 25% โดยจะมีผลบังคับใช้ Lot แรก (ประกาศไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา) วันที่ 6/7/61 ล่าสุดยังมีประเด็นเพิ่มเติมว่าสหรัฐฯ อาจมีการพิจารณาเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ารอบใหม่จากจีน อัตรา 10% ครั้งนี้วงเงินอาจสูงถึง 200,000 ล้านUSD ซึ่งทำให้ตลาดปรับลดลงต่อเนื่อง จากความกังวลว่าสถานการณ์การตั้งกำแพงภาษีของทั้ง 2 ประเทศ จะมีความรุนแรงมากขึ้น และอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ส่วนประเด็นถัดมา เป็นนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณค่อนข้างชัดเจนว่าจะมีความเข้มงวดมากขึ้น จากโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้งในปีนี้ ซึ่งคาดคงเหลืออีก 2 ครั้ง ในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. ตามลำดับ คาดว่าอีกครั้งละ 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ในช่วง 2.25 – 2.50% ส่งผลให้ Flow ไหลออกจาก Emerging Market ต่อเนื่อง รวมถึงไทย มูลค่ารวมๆ Outflow ประมาณ 19,000 ล้านUSD (รวมอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน เป็นต้น) หรือคิดเป็น 1ใน3 เทียบกับช่วงปี’51 (2008) ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตการเงินโลก ช่วงนั้นมูลค่าอยู่ที่ ประมาณ 60,000 ล้านUSD และในส่วนของบ้านเรา YTD ต่างชาติขายสุทธิ มูลค่าสูงเกือบ 170,000 ล้านบาท ซึ่งกดดันราคาหุ้นขนาดใหญ่ปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สำหรับประเด็นในประเทศ เรายังมอง Sentiment เป็นบวก โดยเฉพาะในระยะกลาง – ยาว ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง ล่าสุด BoT ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ในปีนี้ จากเดิม 4.1% เป็น 4.4% และคาดในปี’62 อยู่ที่ 4.2% จากเดิมที่ 4.1% และประเด็นทางการเมือง ที่คาดมีสัญญาณที่ดีขึ้น จากการเลือกตั้ง ที่คาดน่าจะเกิดขึ้นภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุน และคาดน่าจะเป็นประเด็นหนึ่งที่ช่วยให้ Fund Flow ไหลกลับเข้ามา ขณะที่ในระยะสั้น มีประเด็นการทำ Window Dressing – 2Q/61 ในช่วงสัปดาห์หน้า ที่คาดอาจมีแรงเก็งกำไรเข้ามาบ้าง หลังจากนั้นเริ่มเข้าสู่ช่วงการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ในส่วนของราคาน้ำมัน คาดรอความชัดเจนการประชุมของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันพรุ่งนี้ (21/6/61) ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจมีการพิจารณาปรับเพิ่มปริมาณผลิตน้ำมันดิบ ประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อชดเชยในส่วนของอิหร่านและเวเนซูเอล่า ที่ลดลง จากมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งหากผลการประชุมออกมาตามที่คาดไว้ คาดราคาน้ำมันปรับลดลงไม่มาก คาดราคาน้ำมันที่ปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลดังกล่าวไปแล้ว แต่ภาพรวมหลังจากนี้ไป คาดราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวน ภายใต้ความกังวลสงครามการค้าที่มีความรุนแรงขึ้น อาจส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก และอาจกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ซึ่งการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานช่วงนี้ เป็นไปในลักษณะเก็งกำไรตามราคาน้ำมัน ภายใต้ภาพรวมตลาดที่มีความผันผวน และ Sentiment ที่เป็นลบจากประเด็นต่างประเทศ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนนโยบายของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการค้า ที่ส่งสัญญาณรุนแรง รวมถึงนโยบายการเงินของเฟด ที่คาดจะมีความเข้มงวดมากขึ้นตามลำดับ พร้อมกับราคาน้ำมันที่มีความผันผวน อย่างไรก็ตามคาดยังได้รับ Sentiment บวกบ้างจากประเด็นในประเทศ เช่น Window Dressing – 2Q/61 ในช่วงปลายเดือน และการเมืองที่คาดการเลือกตั้งเป็นไปตาม Road Map คาดเกิดขึ้นภายในเดือนก.พ.’62 ขณะที่คาด Fund Flow มีโอกาสไหลกลับหากมีการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจน และคาดหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของต่างชาติจะกลับมาได้รับความสนใจ กลยุทธ์ลงทุน : แนะนำทยอยสะสม (1) หุ้นที่คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดเมื่อ 1Q/61 และคาดดีขึ้นตามลำดับ ในช่วงเวลาที่เหลือของปี เช่น BANPU, HTECH, PSL และ TKN เป็นต้น (2) กลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะหุ้นที่ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง และ คาดได้รับผลกระทบไม่มากจากการลดค่าธรรมเนียมที่ทำธุรกรรมผ่าน Internet Banking เช่น KTB กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ และมีความสามารถทำกำไรโดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น UNIQ ส่วนหุ้นแนะนำวันนี้ เป็น “KTB “ “เป็นโอกาสในการสะสมหุ้น” ประเด็นน่าสนใจ จากสำรองหนี้ลดลงจากปี’60 แม้คาดสินเชื่อจะเติบโตไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน แต่ภายใต้นโยบายของ KTB ที่ต้องการปรับลดสินเชื่อที่มีความเสี่ยง เช่น สินเชื่อโรงสี และสินเชื่อสหกรณ์ เป็นต้น ทำให้คาดกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น โดยคาดจากสำรองหนี้ 32,000 ล้านบาท ลดลงจาก 44,000 ล้านบาท เมื่อปี’60 (รวมสำรองหนี้ EARTH จำนวน 12,000 ล้านบาท) ขณะที่ KTB ตั้งเป้าหมายสำรองหนี้ในปี’61 ไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ทำให้คาดกำไรสุทธิ +39% อยู่ที่ประมาณ 31,100 ล้านบาท คาดเงินปันผล 0.89 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น Dividend Yield ประมาณ 5.12% คาดผลประกอบการยังมี Upside หากการประมูลขายที่ดิน AQ สำเร็จ คาด KTB มีกำไรพิเศษ 8,500 ล้านบาท (EPS ประมาณ 0.60 บาท) คาดเพิ่ม Target Price อีก 0.40 บาท อย่างไรก็ตามยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการเป็นโอกาสในการสะสม โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาปรับลดลง แม้ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้งดขายทรัพย์ของ AQ (ที่ดิน 4,300 ไร่) เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา (6/6/61) ซึ่งก่อนหน้านี้คาดหากประมูลสำเร็จ คาด KTB มีกำไรพิเศษ 8,500 ล้านบาท (EPS ประมาณ 0.60 บาท) คาดเพิ่ม Target Price อีก 0.40 บาท อย่างไรก็ตามยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ ประเมินราคาเป้าหมายปี’61 ที่ 21.90 บาท ที่มา : KTB และประมาณการโดย AIRA
แสดงเพิ่ม