ไอเดียจัดพอร์ตรับสงครามการค้า
ทองคำ – หุ้นเวียดนาม – หุ้นจีน
ทองคำ - ราคาทองคำที่ลงมาอยู่ต่ำกว่า $1,200/oz นับว่าน่าสนใจลงทุน เพราะเป็นราคาที่ใกล้ All-in Sustaining Costs ของเหมืองในแอฟริกาใต้ ซึ่งอยู่ที่ $1,187/oz* เมื่อราคาทองคำในตลาดโลกลงไปใกล้ต้นทุน (ซึ่งเคยเกิดเมื่อปี 2015) จะทำให้บางเหมืองต้องหยุดกิจการ อุปทานหายไป ราคาก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ในขณะเดียวกัน ราคาทองโดยปกติจะสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์ ช่วงนี้ดอลลาร์แข็งค่ามาก โดย Dollar Index ขึ้นไปแตะ 96.54 สูงสุดในรอบปี หากดอลลาร์กลับทิศอ่อนค่าลง ก็จะช่วยให้ราคาทองปรับตัวขึ้นได้ ทั้งนี้ ไม่อาจฟันธงว่า ราคาทองคำถึงจุดต่ำสุดแล้ว เพราะอาจมีปัจจัยอื่นกดราคาลงไปอีกได้ เพียงแต่แนะนำให้นักลงทุนควรใช้จังหวะนี้ในการเพิ่มน้ำหนักทองคำในพอร์ต
ตลาดหุ้นเวียดนาม - เศรษฐกิจเวียดนามครึ่งปีแรกโต 7.08% และคาดว่าจะโต 6.5% ต่อปีในช่วง 2018-2022 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดใน ASEAN ขับเคลื่อนด้วย 4 เครื่องยนต์หลัก ได้แก่ 1. เงินลงทุนตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) โดยมียอดครึ่งปีแรกกว่า 6 แสนล้านบาท** 2. การส่งออก ซึ่ง 7 เดือนแรกโต 14.5%** โดยสินค้าส่งออกหลักคือ โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ 3. การท่องเที่ยว โดย 7 เดือนแรกมียอดนักท่องเที่ยว 9 ล้านคน โต 25% จากปีก่อน** และ 4. การบริโภคในประเทศ จากคนหนุ่มสาวที่มีรายได้และกำลังซื้อมากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามได้ปรับตัวลงแรง โดยดัชนี VN Index ปรับลงจากจุดสูงสุดที่ 1211 ลงไปต่ำกว่า 900 จุด (คิดเป็นผลตอบแทน -25%) ก่อนจะกลับมาที่ระดับ 970 จุด แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักกองทุนหุ้นเวียดนาม เน้นเลือกหุ้นขนาดกลางที่เติบโตดีจากเศรษฐกิจในประเทศ มีระดับ P/E 13 เท่า (เทียบกับ P/E ตลาด 18 เท่า)**** แต่มีอัตราการเติบโตของกำไรเกือบ 20%
ตลาดหุ้นจีน A Shares - เศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯยังคงเติบโตในระดับ 6.5% ต่อปี*** โดย 70% ของ GDP เป็นการขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ และธุรกิจกลุ่ม New Economy ซึ่งยังเติบโตเร็วและไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ในขณะที่ตลาดหุ้น A Shares ปรับลดจากจุดสูงสุดของปีเกือบ 20% คาดว่าได้สะท้อนความกังวลเรื่องสงครามการค้าไปมากแล้ว ระดับ P/E หุ้นใหญ่อยู่ที่ 10 เท่า ส่วน P/E หุ้นขนาดกลางอยู่ที่ 14-15 เท่า**** ซึ่งใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี โดยตัวอย่างของหุ้นที่เป็น New Economy ได้แก่ HIKVision ที่เริ่มจาก SME เล็กๆ กลายเป็นบริษัทชั้นนำและมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของโลกด้านกล้องวงจรปิด ด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้าคนได้ และมี Market Cap กว่า 1.4 ล้านล้านบาท อีกตัวอย่างคือ Shenzhen KSTAR หุ้นขนาดกลาง (market cap 20,000 ล้านบาท) ที่เริ่มจากการผลิตเครื่องสำรองไฟฟ้า ก่อนจะขยายไปสู่ Cloud Computing และ Data Center
กองทุนแนะนำ
ทองคำ
แนะนำ CIMB-Principal Gold Income Fund (CIMB-PRINCIPAL iGOLD) เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust เพียงกองทุนเดียว เพื่อให้ผลตอบแทนเทียบเคียงกับกองทุนหลัก (Passive Management)โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนต่ำ เพราะมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ
หุ้นเวียดนาม
แนะนำ CIMB-Principal Vietnam Equity Fund (CIMB-PRINCIPAL VNEQ) มีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต มุ่งหวังให้ผลการดำเนินงานของกองทุนสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน บริหารโดยทีมจัดการลงทุนของ CIMB-Principal ที่เน้นการทำ Company Visit ด้วยตนเองเพื่อเลือกหุ้นรายตัว ในกิจการที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
หุ้นจีน
แนะนำ CIMB-Principal China Equity Fund (CIMB-PRINCIPAL CHEQ) เป็นกองทุนรวมประเภท Fund of Funds ที่เข้าลงทุนในกองทุนรวมในต่างประเทศในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน โดยจะลงทุนอย่างน้อย 2 กองทุนที่มีลักษณะแตกต่างกันทั้งหุ้นขนาดใหญ่ ขนากลาง-เล็ก เพื่อกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เบื้องต้นคาดว่าจะเข้าลงทุนในกองทุน CIMB-Principal China Direct Opportunities Fund ที่ลงทุนในหุ้นจีนขนาดกลางและขนาดเล็กและจดทะเบียนในประเทศมาเลเซียในสัดส่วนประมาณ 70% และกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวแรก ในกองทุน iShares FTSE A50 China Index ETF โดยจะมีสัดส่วนลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ประมาณ 30%
แสดงเพิ่ม
