"มิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น"
อีกไม่ถึง 2 เดือน สหรัฐฯจะเลือกตั้งกลางเทอม (6 พ.ย.)
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 435 ที่นั่ง เลือกใหม่ทั้งหมด
- สมาชิกวุฒิสภา เลือก 35 ที่นั่ง (จากทั้งหมด 100)
- เลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ 36 รัฐ
- เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นจำนวนมาก
ผลโพลและความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์ล่าสุดชี้ พรรครีพับลิกัน ของ ปธน.ทรัมป์ คงจะรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภา (สภาบน) ไว้ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง ที่จะสูญเสียเสียงส่วนใหญ่ใน สภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) ให้แก่ พรรคเดโมแครต
หาก เดโมแครต ชนะเลือกตั้งอย่างน้อย 1 สภา การเมืองสหรัฐฯคงร้อนแรงขึ้น โดยน่าจะมีการเร่งสอบสวนและออกหมายเรียก ในคดีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคนในทำเนียบขาว ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯคงยังไม่ถูกกระทบในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินอาจเริ่มปรับความคาดหวังเกี่ยวกับ นโยบายเศรษฐกิจในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง “กฎหมายภาษี” หากโมเมนตัมของคะแนนเสียงชี้ว่า เดโมแครต มีโอกาสมากขึ้นที่จะชนะเลือกตั้ง ปธน. ปี 2020
สมมุติฐานหลักๆ (ในความเห็นของนักกลยุทธ์)
- การเมืองสหรัฐฯ น่าจะเข้ามาแย่งพื้นที่ข่าว และก่อให้เกิด “สัญญาณรบกวน” บ่อยครั้งในตลาด ซึ่งมักสร้างโอกาสลงทุนดีๆ จากความผันผวนและการเคลื่อนไหวที่ไม่สมเหตุผล ของราคาสินทรัพย์ต่างๆในระยะสั้น
- แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาวอีก 2-3 ปีข้างหน้า น่าจะคาดการณ์ได้ยากขึ้น ในกรณีที่ เดโมแครต มีโอกาสมากขึ้นที่จะชนะเลือกตั้ง ปธน. ปี 2020 เนื่องจาก เดโมแครต ชูนโยบายเพิ่มการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ ซึ่งน่าจะส่งผลให้ต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้น (ตรงข้ามกับ รีพับลิกัน ซึ่งลดภาษี) แม้กรณีดังกล่าว คงไม่เปลี่ยนแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะสั้น (ซึ่งแข็งแกร่งมาก สนับสนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป) ทว่าแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวที่เสี่ยงชะลอตัว คงเพิ่มความซับซ้อนในการดำเนินนโยบายการเงิน เพิ่มความเสี่ยงที่เฟดจะดำเนินนโยบายผิดพลาด (policy mistake) และเพิ่มโอกาสเกิดภาวะถดถอย
- ข้อตกลงการค้าสำคัญๆ เช่น Nafta, จีน-สหรัฐฯ, ยุโรป-สหรัฐฯ น่าจะกลับมาเจรจากันต่ออย่างจริงจัง หลังเลือกตั้งกลางเทอมเสร็จสิ้น โดยหาก รีพับลิกัน สูญเสียเสียงข้างมากอย่างน้อย 1 สภา ก็จะทำให้ ทรัมป์ มีอำนาจต่อรองน้อยลง เช่น จะยกเลิก Nafta (ซึ่งเป็นข้อตกลงไตรภาคี: สหรัฐฯ, แคนาดา, เม็กซิโก) แล้วเปลี่ยนเป็นข้อตกลงทวิภาคี (US-Mexico, US-Canada) ก็ทำไม่ได้หากสภาไม่อนุมัติ หรือหาก จีน เห็นโอกาสมากขึ้นว่าอีก 2 ปีข้างหน้า ปธน.สหรัฐฯอาจจะไม่ใช่ทรัมป์ จีนก็คงจะไม่ยอมรับข้อเสนอแย่ๆที่ทรัมป์ยื่นให้ตอนนี้ เป็นต้น ...ถ้าหากเป็นไปตามสมมุติฐานข้างต้น สงครามการค้า ก็ควรที่จะเบาลง (แต่หาก รีพับลิกัน ชนะเหนือความคาดหมาย ทรัมป์ ก็คงจะเสียงดังขึ้น และประเทศคู่เจรจาคงต้องยอมถอย)
กองทุนที่น่าจะช่วยกระจายความเสี่ยง น่าจะเป็นกองทุนที่เน้นสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์หาก ยีลด์พันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวลง และ/หรือ ดอลลาร์อ่อนค่าลง ในกรณีที่ตลาดปรับลดความคาดหวังเกี่ยวกับ การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะยาว
TMB Gold Singapore
TMB Global Bond
TMB Global Income
TMB Property Income Plus
แสดงเพิ่ม