รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 6 EP 848 มองภาพตลาดหุ้นไทย หลังเลือกตั้ง

รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 6 EP 848 มองภาพตลาดหุ้นไทย หลังเลือกตั้ง

รับชม 7 ครั้ง|
ชอบ
ไม่ชอบ
แชร์
thunkhaochannel
636 วิดีโอ
ตัวเลขเศรษฐกิจหลายประเทศทั่่วโลก ทั้งจากฝั่งสหรัฐ และยุโรป ที่อ่อนแอเป็นตัวกดดันบรรยากาศการลงทุนในต่างประเทศ รวมไปถึงหุ้นไทย จากตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของโลก รวมไปถึงภาพการเมืองที่ยังฝุ่นตลบอยู่มุมมองของคุุณ อดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต ประเมินว่า กลยุทธ์การลงทุนค่อนข้างยาก มีทั้งปัจจัยภายนอกประเทศที่ตัวเลขเศรษกิจอ่อนแอ ที่สะท้อนว่าไม่ใช่สหรัฐประเทศเดียวที่เศรษฐกิจส่อเค้าไม่ดี แต่ทั้ง ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ตัวเลขเศรษฐกิจต่างก็สะท้อนไปในทิศทางเดียวกันที่อ่อนแอ จากตัวเลข PMI ที่ค่อยๆ ปรับตัวลดลง สัญญาณบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจค่อยๆชะลอตัวลงแต่ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นต่างประเทศก็ปรับขึ้นมาโดยตลอดทางคุณอดิศักดิ์ มองว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ให้น้ำหนักกับประเด็นเฟด เรื่องอัตราดอกเบี้ย กับการเดินหน้านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น "ช่วงต่อไปนี้ เราจะต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นสำหรับตลาดหุ้นโลก" ส่วนปัจจัยในประเทศ คือ เรื่องของผลการเลือกตั้ง ซึ่งทุกคนต่างจับตาการฟอร์มทีมของรัฐบาลว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการนับคะแนน จะเห็นว่าตัวเลขออกมาสูสี ระหว่างพรรค พลังประชารัฐ จับมือกับพรรคร่วม หรือ พรรคเพื่อไทย รวมกับพรรครวม ประเด็นที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนมีความกังวล แม้ว่า จากเสียงของ สว. 250 เข้ามาช่วย ทำให้มีแนวโน้มว่า คุณประยุทธ์ น่าจะได้เป็น นายกฯ แต่ในภาพของการดำเนินนโยบายต่างๆ ในรัฐบาลใหม่นี้ เนื่องจากคะนนเสียงไม่ขาดมาก จะเกิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่นโยบายต่างๆ จะมีความต่อเนื่องหรือเปล่า จากหลากหลายความไม่ชัดเจนที่เกิดขึ้น บล.ธนชาต คาดว่าน่าจะทำให้ SET Index ไม่น่าจะมีการปรับขึ้นแรงๆ ให้เห็น (Post Election Rally) โดยให้กรอบดัชนีหุ้นไทย แนวรับ 1,614-1,630 จุด และกรอบแนวต้าน ที่ 1,660 จุด กลุ่ม Sector ที่น่าสนใจภายใต้การคาดการณ์ว่า คุณประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกฯ แม้ว่าจะมีคำถามเรื่องความต่อเนื่องของนโยบาย แต่กลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์ในมุมของความต่อเนื่องของนโยบาย จากรัฐบาลที่แล้ว สู่รัฐบาลใหม่ อย่าง EEC, Infrastructur Investment, บล.ธนชาต มองว่าน่าจะได้อานิสงค์บวก แม้ว่าในระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนบ้าง คือ WHA , AMATA , STEC น่าสนใจ ส่วนกลุ่มค้าปลีก ที่อาจจะได้ผลบวกจากนโยบายเพิ่มกำลังซื้อ คือ CPALL, HMPRO, KTC หุ้น "STEC" นั้นโดดเด่น เพราะนอกจากผลบวกจากนโยบายรัฐบาลแล้ว หุ้นนี้ ยังมี Blacklog ที่สูง (มากกว่าแสนล้าน) ที่สามารถรองรับรายได้ 3 ปีข้างหน้าได้อยู่แล้ว ประกอบกับงานในมือ เป็นงานที่มีอัตรากำไรค่อนข้างสูง คาดการณ์ไปปีนี้ และ ปีหน้าจะเห็น STEC ทำนิวไฮ อย่างต่อเนื่อง บล.ธนชาตให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 30 บาทต่อหุ้น (มีอัพไซด์ประมาณ 28% จากราคาปัจจุบัน ) ส่วน กระแสเงินทุน Fund Flow จากต่างชาติ หลังการเลือกตั้ง นักลงทุนต่างชาติน่าจะรอดูก่อนเสถียรภาพที่จะเห็นมากน้อยแค่ไหน
แสดงเพิ่ม