รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 6 EP 890 อัปเดทมุมมองตลาดหุ้นไทย Q2/2562

รวยหุ้น รวยลงทุน ปี 6 EP 890 อัปเดทมุมมองตลาดหุ้นไทย Q2/2562

รับชม 0 ครั้ง|
ชอบ
ไม่ชอบ
แชร์
thunkhaochannel
636 วิดีโอ
การลงทุนในตลาดหุ้น หลายปีที่ผ่านมา หลายคนสร้างกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นได้ไม่ยากนัก แต่ภาวะในปีนี้ สภาพการลงทุนดูมีหลายเงื่อนไขที่ยากในการทำกำไร จากหลายหลายปัจจัย ทั้ง สงครามการค้า จีน-สหรัฐ รวมถึงปัจจัยจากนโยบายการเงินของเฟด วันนี้ เราได้รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนของโบรกเกอร์ต่างๆ มาให้ลองเทียบกันดู บล.ทรีนีตี้  สรุปกลุ่มหุ้นที่แนะนำให้ถือลงทุนต่อไป ได้แก่          1) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการพิจารณาเกณฑ์ NVDR ของ MSCI และราคาหุ้นยังคง Laggard (เข้าใจง่ายๆ ว่า เป็น กลุ่มที่คาดการณ์ว่า ต่างชาติสนใจเข้าลงทุน และราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับเพิ่มสูงมากนัก) ได้แก่ SCC          2) กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบเดือนมิถุนายน ได้แก่ OSP, SAWAD          3) กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET100 ในรอบเดือนมิถุนายน ได้แก่ BEC          4) กลุ่มค้าปลีกที่ได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและดูแลค่าครองชีพของประชาชน ได้แก่ BJC, CPALL          5) กลุ่มที่อยู่อาศัยที่ได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ QH, PSH          6) กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ได้ประโยชน์จากแผน PDP ฉบับใหม่และยังมีการเติบโตของรายได้และกำไรปี 2562 ที่โดดเด่น ได้แก่ RATCH, BGRIM          7) กลุ่มหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการจะพลิกฟื้นในปี 2019 อย่างโดดเด่น ได้แก่ THRE          8) กลุ่มยานยนต์ที่ได้ประโยชน์จากยอดผลิตรถยนต์ที่อยู่ในระดับสูง และมักเป็นกลุ่มที่ปรับตัวได้ดีในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ได้แก่ SAT, STANLY บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี: นักวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์โดยรวมแล้ว คาดทิศทางตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับ : 1. เม็ดเงินจะเข้าต่อหรือไม่? (หากดูจากรอบที่ไหลเข้าก่อนหน้านี้ จะพบว่า เข้ามาระดับหนึ่งแล้วหยุด) 2.ตัวแปรทางการเมือง (หากตลาดมองหลังเลือกตั้งในเชิงบวก น่าจะหนุนตลาดได้ในช่วงสั้นเช่นกันเหมือนอย่างในอินโดนีเชียและฟิลิปปินส์) และ 3. ทิศทางราคาน้ำมันและตลาดหุ้นสหรัฐ นักวิเคราะห์ระบุประเด็นที่คาดว่าจะกดหรือหนุนตลาดหุ้นไทย หลังจากนี้ในทางพื้นฐาน คือ การคาดการณ์อัตราการทำกำไรของตลาดหลัง ประกาศงบ Q1/2562 พบว่าปัจจุบันอัตราการทำกำไรของตลาดหุ้นไทยยังถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จากต้นปีที่ประมาณ 8.7 % เหลือเพียง 5.5% แม้การคาดการณ์อัตราการทำกำไรจะลดลง แต่ถือว่าสูงกว่าในภูมิภาคไม่รวมญี่ปุ่นที่ 5% โดยในช่วงก่อนหน้านี้อัตราการทำกำไรของภูมิภาค จะทรงตัวสูงกว่าในตลาดหุ้นไทยมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ลดลงต่ำกว่า มาจากมีการปรับ ลดประมาณการณ์อัตราการทำกำไรของตลาดหุ้นในภูมิภาคที่อิงกับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ มุมมองของ บล.ฟิลลิป: นักวิเคราะห์ฟิลลิปอัปเดตหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยระบุว่าสินเชื่อเดือน เม.ย. เติบโต 0.19%m-m ทำให้สินเชื่อของทั้งกลุ่มธนาคารนั้นเติบ โตเป็นบวกเป็นเดือนแรกของปี 62 โดยเพิ่มขึ้น 0.07% ฟิลลิปยังคงเลือก BBL เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่ม ถึงแม้ว่าสินเชื่อจะหดตัวมากที่สุด เนื่องจากยังมองว่าสินเชื่อขนาดใหญ่จะยัง คงเป็นกลุ่มที่ทำให้สินเชื่อของกลุ่มเติบโต และ BBL นั้นมีความเชี่ยวชาญ ด้านความเห็นของ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส: ดีบีเอสฯ อัปเดตหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ที่มีความเสี่ยงการตั้งสำรองส่วนรายได้ประกันสังคม นักวิเคราะห์ระบุว่าใน Q2/2562 โรงพยาบาลอาจต้องตั้งสำรองส่วนรายได้ประกันสังคม โดยสำนักงานประกันสังคมแจ้งว่าอาจจะมี การลดการชำระเงินคืนในส่วนคนไข้หนักประกันสังคม โรงพยาบาลจึงอาจต้องกลับรายการรายได้ออกมา/หรือตั้งสำรองรายได้ส่วนที่ไม่ ได้รับไว้ใน SG&A ดีบีเอสฯ ระบุว่าหุ้น RJH และ CHG มีสัดส่วนรายได้จากคนไข้ประกันสังคมสูงที่ 43% และ 32% ของรายได้รวม จึงจะได้รับผล กระทบจากเรื่องนี้มากกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดกระทบต่อ RJH และ CHG จำกัด หากให้ RJH และ CHG ตั้งสำรองฯใกล้เคียงกับปีก่อน (+/-15%) ซึ่งพบว่าจะกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 62 ของ RJH 2.5-3.2% และของ CHG 1.9-2.6% เท่านั้น และทางผู้ บริหารคาดว่าประกันสังคมจะไม่มีการลดคืนเงินโรงพยาบาลในช่วงที่เหลือของปีนี้ ดีบีเอสฯ ยังคงคำแนะนำซื้อ RJH (ราคาพื้นฐาน 29 บาท) และ CHG (ราคาพื้นฐาน 2.4 บาท)
แสดงเพิ่ม